ก่อนที่ในหลวงอนันฯจะเสด็จลับเลือนหายจากพวกเราชาวไทยไปนั้น พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการเสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเปิดการประชุมสภาผู้แทนในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2489 นอกจากนี้พระองค์ยังทรงกังวลเรื่องความขัดแย้งของชาวสำเพ็ง ระหว่างคนไทยกับคนไทยเชื้อสายจีน เหตุการณ์ครั้งนั้นบานปลายจนเกือบเกิดสงครามกลางเมือง
พระองค์จึงตัดสินพระทัยเสด็จพระราชดำเนินเยือนสำเพ็ง ซึ่งถือว่าเป็นการเสด็จเยี่ยมชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นครั้งแรก
พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลฯ พระองค์ทรงหวังว่าการเสด็จครั้งนี้จะสามารถแก้ไขความขัดแย้งนี้ให้จางลงได้ พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปเรื่อยๆ ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง พระราชดำเนินด้วยพระบาทเป็นระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร พร้อมตรัสถึงเรื่องนี้ว่า “หากปล่อยความขุ่นข้องบาดหมางไว้เช่นนี้ จะเป็นผลร้ายตลอดไป” ผลจากการเสด็จพระราชดำเนินสำเพ็งในครั้งนี้จึงเป็นการประสานรอยร้าวที่เกิดขึ้นให้หมดไป นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นที่พระองค์มอบให้ชาวสำเพ็งจวบจนปัจจุบัน
ยังมีอีกหนึ่งสิ่งอย่างที่พระองค์ทรงตั้งพระราชหฤทัยไว้อย่างแน่วแน่ไม่ต่างไปจากชาวบ้านทั่วไปนั่นก็คือ การผนวชเพื่อศึกษาธรรมวินัยและบำรุงพระพุทธศาสนา
โดยพระองค์ได้มีพระราชหัตเลขาถึงสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2489 ว่า...ข้าพเจ้าขอตำราทางพระพุทธศาสนาเพื่อที่จะใช้เตรียมในการศึกษาบทสวดและธรรมวินัยก่อนที่จะอุปสมบท...แต่แล้ววันเวลาล่วงผ่านจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ก็เกิดเรื่องที่น่าเศร้าเกินกว่าที่ประชาชนคนไทยจะรับได้ นั่นก็คือพระองค์ได้เสด็จสวรรคตไปทั้งๆที่ยังมิได้ออกผนวชตามพระราชหฤทัยที่ตั้งไว้.....ดั่งมีมารมาผจญ
นับว่าช่วงเวลาสุดท้ายของพระชนม์ชีพนั้น พระองค์ทรงมีห่วงอยู่สองอย่างก็คือ 1.อยากให้คนไทยมีความรักใคร่และสามัคคีกัน ไม่ว่าจะเชื้อชาติสายใดก็คนไทยด้วยกัน และ 2.คือการผนวชเพื่อศึกษาธรรมวินัยบำรุงพระพุทธศาสนาและระลึกถึงผู้มีพระคุณ
จากภาพคือ เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล และสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลฯ เสด็จพระราชดำเนินเยือน สำเพ็ง
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/68637.html