เจ้ากรรมนายเวร... อ่านเถอะ! จะได้รู้ว่าต้องอยู่ร่วมกันยังไง ทุกคนมีถึงแม้จะไม่ยอมเชื่อ

รู้ทันเจ้ากรรมนายเวร 




คำว่า “เจ้ากรรมนายเวร” นี้เป็นที่คุ้นหูในหมู่ชาวพุทธอยู่แล้ว แม้แต่ในวงการบันเทิงก็ยังมีบทประพันธ์ที่นำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ให้เห็นถึงที่มาที่ไปและลักษณะของเจ้ากรรมนายเวรที่มีความแตกต่างกัน แต่เรื่องที่จะสามารถปลงใจเชื่อได้หรือไม่ว่า “มีอยู่จริงหรือไม่” นั้นเป็นเรื่องทัศนคติและความเชื่อของแต่ละบุคคล

คำว่า “เจ้ากรรมนายเวร” นี้เป็นที่คุ้นหูในหมู่ชาวพุทธอยู่แล้ว แม้แต่ในวงการบันเทิงก็ยังมีบทประพันธ์ที่นำมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ให้เห็นถึงที่มาที่ไปและลักษณะของเจ้ากรรมนายเวรที่มีความแตกต่างกัน แต่เรื่องที่จะสามารถปลงใจเชื่อได้หรือไม่ว่า “มีอยู่จริงหรือไม่” นั้นเป็นเรื่องทัศนคติและความเชื่อของแต่ละบุคคล

ผู้เขียนขอยกเอาบทพระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ที่พระองค์ท่านได้ประพันธ์ไว้ในหนังสือ “อำนาจที่ยิ่งใหญ่แห่งกรรม” ที่มีบทอธิบายถึงเจ้ากรรมนายเวรว่ามีจริงหรือไม่ดังต่อไปนี้

“อันกรรมไม่ดีนั้น มีคู่ที่มักจะใช้ด้วยกันคือมีความหมายไปในทางที่ไม่ดีคือคำว่า “เจ้ากรรมนายเวร” ผู้ที่มีสัมมาทิฐิย่อมไม่ปฏิเสธความเชื่อที่มีอยู่ว่าเจ้ากรรมนายเวรนั้น “มี” ไม่ใช่ไม่มี

เจ้ากรรมนายเวรนั้นคือ “ผู้ที่ถูกทำร้ายก่อนและผูกอาฆาตจองเวร” หากไม่มีอาการอาฆาตจองเวรก็ไม่ถือว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรเขาย่อมเป็นผู้ไม่คิดร้าย ไม่ติดตามทำร้ายให้เป็นการตอบสนองหรือที่เรียกกันว่าแก้แค้น

ผู้ที่มีสัมมาทิฐิหรือมีความเห็นชอบแม้จะมองไม่เห็นหน้าตาของเจ้ากรรมนายเวรแต่ก็ย่อมไม่ประมาทและย่อมไม่เห็นเป็นความเหลวไหลไม่มีเหตุผล เหตุที่เรามีเจ้ากรรมนายเวรก็เพราะ เราต่างก็มีภพชาติมานับไม่ถ้วนในอดีต ต่างก็ทำกรรมดีและไม่ดีเอาไว้นับไม่ถ้วนในภพชาติทั้งหลายนั้น เจ้ากรรมนายเวรที่ได้ไปก้ำเกินเบียดเบียนทำร้ายไว้ ก็ย่อมมีไม่น้อยเช่นกัน

ทำนองเดียวกันกับผู้ที่เป็นบิดามารดาบุพการี หรือผู้มีพระคุณก็ต้องมีมากมาย แม้ชาตินี้ไม่อาจจะล่วงรู้ได้ว่าเป็นใครต่อใครบ้าง แต่ก็จงพึงยอมรับว่า เจ้ากรรมนายเวรมีอยู่ในภพภูมิที่พ้นความรู้เห็นของผู้ไม่มีความสามารถและทั้งในภพภูมิเดียวกันกับเราทั้งหลายนี้ด้วย

ทั้งเจ้ากรรมนายเวรและผู้มีพระคุณนั้น เมื่อจะทำการขอโทษท่านก็ต้องพึงทำเช่นเดียวกับเมื่อการที่เราจะตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณ คือการทำบุญทำกุศลด้วยความตั้งใจจริงที่จะอุทิศให้แล้วก็ตั้งใจจริงที่จะบอกกล่าวให้รับรู้ ให้ยอมรับความเจตนาอันจริงใจที่จะขอโทษและตอบแทน

การตอบแทนและการบอกกล่าวด้วยความจริงใจเช่นนี้ ต่อให้ผู้ที่ไม่มีตัวตนปรากฏให้เห็น นั้นเราไม่เรียกว่า ความหลง ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผล แต่เป็นการปฏิบัติตนที่ถูกต้องและจะได้ผลอาจนำพาให้พ้นมือแห่งกรรมไม่ดีที่ตามอยู่ได้”

จากบทนิพนธ์อธิบายนี้ คงจะทำให้ทุกท่านพอมองภาพออกแล้วว่า เจ้ากรรมนายเวรคืออะไร ซึ่งจะขออนุญาตสรุปและจำแนกทั้งความหมายรวมไปถึงลักษณะของเจ้ากรรมนายเวรให้ทำความเข้าใจได้ง่าย ๆตามหลักของครูบาอาจารย์ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลให้รับทราบดังนี้

เจ้ากรรมนายเวรนั้นหมายถึง ผู้ที่ถูกเราทำร้ายก่อนไม่ว่าจะเป็นสรรพสัตว์ชนิดใด คนนั้นอยู่ในประเภทเดียวกับสัตว์ด้วย และผู้ที่ถูกทำร้าย ทำลายขามีจิตที่อาฆาตต่อเราและต้องการให้เราได้ชดใช้ผลกรรมที่เราเคยทำกับเขาไว้


การเกิดขึ้นของเจ้ากรรมนายเวรเกิดขึ้นเพราะการเวียนว่าย ตาย เกิดของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่ยังไม่พ้นทุกข์นี้ เราทุกคนนั้นต่างก็เคยเกิดและตายมีภพชาติมานับไม่ถ้วนในอดีต ต่างก็ได้ทำทั้งกรรมดีและไม่ดีเอาไว้แบบนับไม่ถ้วนในภพชาติทั้งหลายนั้น เจ้ากรรมนายเวรเกิดขึ้นเนื่องจากเราได้ไปเบียดเบียนทำร้ายไว้ก่อนไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

เจ้ากรรมนายเวรมี 2 ลักษณะคือ เจ้ากรรมนายเวรที่มองเห็น และเจ้ากรรมนายเวรที่มองไม่เห็น หรือบางตำราอาจจะเรียกแตกต่างกันไปว่า เจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตและเจ้ากรรมนายเวรที่ไม่มีชีวิตก็ได้

เจ้ากรรมนายเวรที่มองเห็นหรือเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิตนั้น มีความหมายว่าอยู่ “ในภพภูมิเดียวกับเรา” เป็นผู้ที่มาสร้างความเดือดร้อนให้กับเราได้ทางใดทางหนึ่งอาจเป็นได้ทั้ง พ่อแม่บุพการี,ลูกหลาน ที่สร้างแต่ความทุกข์ใจและกายให้เกิดขึ้นกับเราโดยตลอด หรือ เพื่อนฝูงคนรู้จักที่คอยมาเบียดเบียนทำร้ายให้สูญเสียให้บาดเจ็บ ในลักษณะต่าง ๆหรืออาจเป็น สัตว์เดรัจฉานที่มีชีวิตแล้วเข้ามาทำร้ายเราให้ได้รับบาดเจ็บให้พิการหรือแม้กระทั่งถึงตาย ก็เป็นไปได้เช่นกัน

เจ้ากรรมนายเวรที่มองไม่เห็นหรือเจ้ากรรมนายเวรที่ไม่มีชีวิตนั้น มีความหมายว่า “เป็นผู้ที่อยู่ต่างภพภูมิกับเรา” หรืออมนุษย์ เป็นสิ่งที่มองด้วยตาเนื้อไม่เห็น แต่ก็เป็นผู้ที่จะมาสร้างความเดือดร้อนให้เราได้ทางใดทางหนึ่ง ซึ่งวิธีการที่เขาจะก่อความเดือดร้อนให้เรานั้นอาจเป็นเรื่อง “เหลือวิสัย”ของมนุษย์ธรรมดาจะรับรู้ได้ ซึ่งถ้าไม่สามารถทำกับเราโดยตรงได้ เขาอาจจะใช้วิธีดลจิตดลใจให้เราเผลอกระทำความชั่วให้ได้รับความลำบากแห่งผลกรรมชั่ว สร้างอุปสรรคใด ๆให้เกิดขึ้นอย่างที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับเราได้แต่ก็เกิดขึ้น ฯลฯ

และสุดท้ายคือ เรื่องการ “ขอโทษหรือขออภัยกับเจ้ากรรมนายเวร” เมื่อจะทำการขอโทษเจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้น ก็ต้องทำด้วยวิธีการเช่นเดียวกับเมื่อการที่เราจะตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณ คือการ “ทำบุญทำกุศล” ด้วย “ความตั้งใจจริงที่จะอุทิศให้” แล้วก็ “ตั้งใจจริงที่จะบอกกล่าวให้รับรู้” ให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นยอมรับความเจตนาอันจริงใจที่จะขอโทษและตอบแทนเขาด้วยคุณงามความดีด้วยความสุขที่เราตั้งใจจะมอบให้อันเป็นผลเกิดขึ้นจากการสร้างบุญกุศลและคุณงามความดีเหล่านั้น

ดังนั้นหากกล่าวถึงในประเด็นหลักของหนังสือเล่มนี้ที่ว่าด้วยการทำแท้ง เด็กที่ถูกทำแท้งหรือถูกฆ่าตั้งแต่อยู่ในครรภ์ก็กลายเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้ที่ทำแท้งไปเรียบร้อยแล้ว กลายเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ไม่มีชีวิตหรือเจ้ากรรมนายเวรที่อยู่ต่างภพภูมิ

ย่อมผูกจิตอาฆาตต่อผู้สร้างกรรมไว้และเขาจะกระทำความเดือดร้อนให้แก่ผู้ที่ฆ่าเขาให้ได้รับความเดือดร้อนอย่างแน่นอนจนกว่าจะเขาจะให้อภัย และการที่เขาจะให้อภัยได้ก็ต้องได้รับบุญกุศลที่ผู้ที่ทำแท้งนั้นได้ทำบุญอุทิศบุญไปให้และแสดงความจริงใจในการบอกกล่าวให้เขารับรู้

ในเรื่องของการให้อโหสิกรรมนั้น ล้วนขึ้นอยู่กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งสิ้น เขาจะให้อโหสิกรรมหรือไม่ให้เป็นสิทธิ์ของเขา ไม่มีใครไปบังคับเขาได้ เพราะเขานั้นเป็นผู้ที่ถูกกระทำ เป็นผู้เสียหาย เป็นผู้ที่ตายเหมือนกับที่คนเรานั้นเป็นหนี้ เจ้าหนี้เขาจะยกให้หรือไม่ยกหนี้ให้อยู่ที่เขาทั้งสิ้น ลูกหนี้ไม่มีสิทธิ์ไปคิดเองเออเองว่า เขาต้องยกโทษให้วันนี้หรือพรุ่งนี้ และที่คนทำแท้งแม้จะปฏิบัติธรรม ทำบุญมาก อุทิศไปให้เขาตลอดเวลาแล้วทำไมชีวิตยังไม่ดีขึ้นนั้นมีอยู่ 3 สาเหตุคือ

สาเหตุที่หนึ่ง เจ้ากรรมนายเวรเขายังไม่พอใจในสิ่งที่เราชดใช้หรือยังอาฆาตอยู่แรงมาก

สาเหตุที่สอง มีการทำแท้งหลายครั้งหลายหน แม้ว่าเจ้ากรรมนายเวรรายหนึ่งจะยอม อาจจะมีอีกหลายเจ้ากรรมนายเวรเจ้าอื่นเขายังไม่ยอม

สาเหตุที่สาม อาจจะมีผลกรรมในเรื่องอื่นนั้นมาส่งผลอยู่ด้วย แม้จะหมดกรรมในเรื่องการทำแท้งแล้วก็ตาม รวมถึงการประพฤติในปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นซึ่งจะทำให้เกิดสุขได้ เช่น ยังขี้เกียจ ยังผิดศีล ยังไม่ทำเหตุและปัจจัยตรงกับผลที่อยากได้ อยากมี ซึ่งต้องพิจารณาไปทั้ง 3 อย่างประกอบกันด้วย

ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า การทำแท้งนั้นทำให้เด็กนั้นกลายเป็นดวงวิญญาณเด็กที่ต้องเร่ร่อนไปเกิดที่ไหนไม่ได้ เขาจะเกาะติดอยู่กับแม่ตลอดเวลา เมื่อแม่เข้าบ้านเขาก็เขาไปไม่ได้เพราะเจ้าที่เจ้าทางเขาไม่อนุญาตให้เข้าไป ก็ต้องเกาะอยู่ตามหน้ารั้วบ้าง ตามต้นไม้ตามเสาบ้าง รอให้แม่ออกมาก็เกาะใหม่

ซึ่งในระหว่างนั้น เขาอาจจะต้องเจอกับดวงวิญญาณที่เป็นสัมภเวสีเหมือนกันแต่เป็นผู้ใหญ่กว่า มารังแกหรือคอยทำร้ายเขา ซึ่งต้องมีจำนวนมากอยู่แล้วในสถานที่แห่งหนึ่งไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ถ้าเป็นอย่างนั้นเมื่อเขาถูกแกล้ง ถูกทำร้าย และไม่มีโอกาสที่จะรับส่วนบุญได้เพราะอาจจะโดนวิญญาณอื่นแย่งไป เขาย่อมจะโกรธแค้นคนที่ทำให้เขาตายก็คือ คนที่เป็นแม่เป็นอย่างมากและรองลงมาก็คือ พ่อหรือผู้ชายที่ทำให้เขาได้ปฏิสนธิ

รวมถึงหมอเถื่อนและไม่เถื่อน คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดที่เขาจะอาฆาตอย่างแรง และจะทำทุกวิถีทางให้คนเหล่านี้ต้องได้รับทุกข์เหมือนกับเขาที่ได้รับอยู่ จนกว่าเขาจะคลายความโกรธ ความอาฆาตลงและเมื่อเขาได้รับสิ่งที่เขาพอใจซึ่งส่วนมากก็คือ บุญกุศลที่บริสุทธิ์

หรือบางดวงวิญญาณก็ยังต้องการบางอย่างที่เป็นวัตถุทานเช่น ข้าวปลาอาหาร นม ของเล่น เสื้อผ้า ซึ่งต้องทำให้ตรงกับจริตของเขา ดวงวิญญาณนั้นถึงจะพอใจเลิกราไป แต่เวรนั้นระงับก็จริง แต่กรรมนั้นไม่ได้ระงับไปด้วย ก็คงยังต้องส่งผลตามกรรมนั้น การที่จะทำให้ทุกข์น้อยลงหรือสุขมากขึ้น เจริญขึ้นก็ต้องเร่งสร้างบุญกุศลหนีกรรมชั่วนั้นไม่ให้ส่งผล

ซึ่งก่อนจะอธิบายถึงวิธีการสร้างบุญและการอุทิศบุญไปให้เขานั้นว่าจะมีวิธีการอย่างไร ขอให้มาทำความรู้จักกับ วิบากกรรมที่เกิดจากการทำแท้งเสียก่อนว่าเป็นกรรมหนักในลักษณะใด มีผลอย่างไรและมีใครบ้างที่มีส่วนร่วมในการสร้างกรรมลักษณะนี้

เขียนโดย ธ.ธรรมรักษ์

ที่มา :  http://variety.teenee.com




Previous
Next Post »