ในวันที่ 2 กันยายน 2504 เวลาประมาณ 15:30น. นางแน่งน้อย แย้มศิริ ซึ่งขณะนั้นเป็นนิสิตชั้นปีที่ 3 คณะบัญชี แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และยังเคยเคยถวายงานเป็นข้าในพระนางเธอลักษมีลาวัณ ในพระตำหนักลักษมีวิลาศ ได้โทรศัพท์มาแจ้งให้แก่พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ว่าอาจมีเหตุร้ายเกิดขึ้นในพระตำหนัก เนื่องจากเธอได้ไปกดออดเรียก และโทรศัพท์เข้าไปแต่ไม่มีผู้รับสาย
เมื่อได้รับแจ้งดังนั้น พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ จึงรีบเดินทางมายังพระตำหนักลักษมีวิลาศ ตั้งอยู่ ณ สี่แยกพญาไทยในทันที และพบว่าพระตำหนักเงียบสงัด เสด็จในกรมฯ ทรงร้อนพระทัยอย่างยิ่งและวิตกว่าพระนางเธอฯ อาจจะกำลังตกอยู่ในอันตราย และได้ตัดสินพระทัยขึ้นไปบนพระตำหนักเพื่อตามหาพระขนิษฐา ทรงตรวจค้นห้องพระบรรทม พบเครื่องฉลองพระองค์และพระราชทรัพย์ถูกรื้อค้นกระจัดกระจาย แล้วจึงเสด็จลงมาตรวจบริเวณพระตำหนักอย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมเปล่งพระสุรเสียงเรียกพระนางเธอฯ ตลอดเวลา แต่ก็ไม่มีเสียงขานรับอย่างใด
ไม่ว่าเสด็จในกรมฯ จะค้นหาในพระตำหนักอย่างไรก็ไม่พบพระขนิษฐา แต่กลับกลายเป็นว่าได้กลิ่นเน่าเหม็นซึ่งโชยออกมาจากโรงรถบริเวณหลังพระ ตำหนัก เสด็จในกรมฯ จึงได้ตามกลิ่นไปและต้องตกพระทัยอย่างยิ่งเมื่อได้พบกับพระศพของพระนางเธอ ที่อยู่ในสภาพเน่าอืดแล้ว เสด็จในกรมฯ จึงได้ติดต่อให้นายร้อยเวรสถานีตำรวจพญาไทยทำการชันสูตรพระศพโดยด่วน
หลัง จากที่ผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ชันสูตรพระศพของพระนางเธอ พบว่าที่พระวรกายบริเวณพระอุระพบบาดแผลฉกรรจ์คล้ายถูกแทงอย่างโหดเหี้ยม 4แผล ที่พระศออีกแผลหนึ่ง ที่พระเศียรด้านหลังนั้นถูกตีจนน่วมมีพระโลหิตไหล สิ้นพระชนม์บนพื้นคอนกรีต เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าสิ้นพระชนม์มาแล้วไม่ต่ำกว่า ๓ วัน จากนั้นจึงได้ส่งพระศพไปยังแผนกนิติเวช เพื่อชันสูตรอีกชั้นหนึ่ง
เจ้า หน้าที่อีกชุดหนึ่งได้ตรวจหาร่องรอยภายในพระตำหนักอย่างละเอียด และพบกรรไกลเปื้อนคราบพระโลหิตตกอยู่กลางห้องพระบรรทม อีกทั้งเงินส่วนพระองค์รวมทั้งสมบัติต่างๆได้หายไปทั้งหมดจากตู้เซฟเก็บ เครื่องฉลองพระองค์ แต่ในที่เก็บเครื่องประดับต้นตระกูลแต่ครั้งรัชกาลที่ ๑ มูลค่านับล้านบาท ยังคงอยู่ในสภาพปกติ สันนิษฐานว่าคนร้ายหากุญแจไม่เจอและหนีไปเสียก่อนเพราะอาจมีคนผ่านมา
เกี่ยว กับพระศพของพระนางเธอที่พบนั้น เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าการที่พบพระศพอยู่บริเวณโรงรถติดกับห้องคนรับใช้ นั้นเป็นการพรางตา คาดว่ากลุ่มฆาตกรน่าจะสังหารตั้งแต่บนห้องบรรทมชั้นบน เพราะพบคราบพระโลหิตติดอยู่ เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วจึงช่วยกันลากพระศพมาทิ้งไว้ที่โรงรถก่อนที่จะหลบหนีไป
ภายหลังผู้ต้องหาถูกจับกุมได้โดยได้รับการแจ้งจากร้านทองที่รับ จำนำของมีค่า ว่ามีผู้ต้องสงสัยนำเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรี จุลจอมเกล้าและตราอื่นๆ จึงสามารถตามจับกุมได้ กดถูกใจ
(Like) ติดตามข่าวสารจาก อรุณสวัสดิ์